ผู้กอง เปิดใจ คบน้องสะใภ้

ผู้กอง เปิดใจ คบน้องสะใภ้

จากกรณีหญิง อายุ 57 ปี ชาว อ.สนม จ.สุรินทร์ ได้เข้ามาขอคำปรึกษากับทนายความว่าสามีอายุ 48 ปี ซึ่งจดทะเบียนสมรส มีหน้าที่การงานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจยศร้อยตำรวจเอกในพื้นที่ จ.สุรินทร์ ทิ้งไปอยู่กินกับหญิงอื่น ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องของตัวเอง

วันที่ 9 มี.ค. 64 ที่สำนักงานทนายความ ต.สลักได อ.เมือง จ.สุรินทร์ นางนิรมล ภรรย าตำรวจ อายุ 57 ปี เข้ามาขอคำปรึกษาด้านกฎหมาย หลังสามีซึ่งได้จดเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมาย เป็นตำรวจในพื้นที่ จ.สุรินทร์ ยศระดับ ร.ต.อ. ทิ้งไปอยู่กินกับหญิงคนใหม่ ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องสะใภ้ของตนเอง และไม่เคยมาเหลียวแล แถมทิ้งภาระหนีสินที่กู้ธนาคารอีกหลายที่ ส่วนมากใช้เพื่อส่งสามีเรียนต่ออีกจำนวนหลายแสนบาท ปล่อยให้ตนชดใช้คนเดียว

ทั้งนี้ ตนอยู่กินกับสามีมาตั้งแต่ปี 2540 ไม่มีลู กด้วยกัน แต่ตนมีลู ก ติด มาด้วย 2 คน จดทะเบียนเมื่อปี 2543 สามีสอบติดโรงเรียนพลตำรวจที่ จ.นครราชสีมา ตนได้ส่งเสียให้มาตลอดจนจบนายสิบตำรวจ และมีการกู้เงิน ต่อมาสามีได้สอบเข้าเรียนคณะนิติศาสตร์จนจบ แล้วก็สอบเข้าโรงเรียนนักเรียนนายร้อยตำรวจอบรม เมื่อออกมาได้รับการบรรจุเป็นร้อยตำรวจตรีตั้งแต่ พ.ศ. 2554 ในระหว่างนั้นตนได้กู้หนี้ยืมสินจากที่ต่าง ๆ เพื่อส่งเสียให้กับสามี ร่ำเรียนจนจบการศึกษา และบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร ต่อมาสามีได้มีผู้หญิงอีกคน เป็นน้องสะใภ้ของตนเอง แล้วก็อยู่กินกันมาจนผู้หญิงคนใหม่มี ลู ก สาว 1 คน สามีจึงได้ย้ายออกจากบ้านตน แล้วก็ไปอยู่กับคนใหม่

โดยตนกับสามี ได้มีการจดทะเบียนสมรสกันถูกต้อง แต่กับผู้หญิงคนใหม่มีแค่การรับรองบุตรผู้หญิงที่เกิดปี 2562 ตนเคยฟ้องร้องผู้ที่สามีไปอยู่กินด้วยต่อศาล เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย ซึ่งศาลมีคำพิพากษาให้ชดใช้เป็นเงิน 1 แสนบาท ตั้งแต่ปี 2561 แต่ก็ยังไม่ได้รับเงินดังกล่าว เนื่องจากผู้ถูกฟ้องไม่มีทรัพย์สินใด ๆ โดยได้เข้าร้องเรียนกับผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสามี ที่กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ โดยมี พ.ต.อ.เอกชัย ปรัชญาวุฒิรัตน์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ เป็นผู้เซ็นรับรองว่าได้มีการทำสัญญาต่อกันจริง โดยทางสามีจะยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ตน เป็นจำนวนเงิน 405,000 บาท และตนจะชดใช้ เงินในส่วนที่เหลือจำนวน 115,000 บาท ตั้งแต่มกราคม 2562 เป็นต้นมา ส่วนยอดหนี้รวมทั้งสิ้น 520,000 บาท แต่หลังจากการทำสัญญา สามีที่เป็นตำรวจไม่ได้เคยชดใช้เงินให้กับตนแม้แต่บาทเดียว แถมยังบอกกับตนอีกว่าถ้าอยากได้ให้ไปฟ้องเอา ทำให้ต้องมาพึ่งทนายความเพื่อเรียกร้องค่าชดเชยค่าเสียหายจากสามี

ด้านนายศักดิ์ (นามสมมติ) สามี เล่าว่า ภรรยาของตนคุยกับชายอื่นก่อน จนต้องแยกกันอยู่ มีการขอหย่า แต่เขาไม่ยอมหย่า จนเรื่องราวบานปลาย โดยตนรู้จักกับนเมื่อปี 2540 ภรรยาเป็นลูกค้าประจำร้านขนมหวานของแม่ตน จากนั้นก็มีความรักและจดทะเบียนสมรสกันในปี 2543 จนอยู่กินกันมาได้นานถึง 9 ปี ก่อนที่ตนจะระแคะระคายว่าภรรย าแอบคุยกับชายอื่น ซึ่งเป็นแฟนเก่า ในวันที่ 14 เม.ย.52 โดยตนจับพิรุธได้เพราะภรรย าไม่ยอมรับสายโทรศัพท์ปริศนาต่อหน้าตน

จากนั้นในวันที่ 15 เม.ย. 52 ตนจึงได้ขอแยกทางกันแต่ญาติของเขาขอร้องไว้ เพราะกลัวว่าภรรย าทำเรื่องไม่ดี ตนจึงได้ให้สาบานต่อหน้าพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และยอมให้อภัย จากนัี้นก็มีพิรุธอยู่เรื่อยมา โดยในเดือนกันย ายนปี 52 ตนได้โทรศัพท์ไปหาฝ่ายชาย ซึ่งเป็นแฟนเก่าของภรรย า อีกฝ่ายก็ยอมรับว่ามีความสนิทมาก ๆ จริง แต่ตนก็ยังคงทนอยู่กินกันต่อไป โดยตนก็ได้กู้เงินเรียนและสอบนายร้อย รวมถึงกู้เงินมาใช้จ่ายร่วมกันในช่วงนี้ ต่อมาในปี 2557 ตนรู้สึกว่าไม่ไหวกับความสัมพันธ์กับภรรยาแล้ว

ตนจึงแยกตัวออกมา ขอออกมาอยู่คนเดียว ขณะนั้นตนมีปัญหาเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย และถูกกล่าวหาว่ามีหญิงคนอื่น ทั้งนี้ หลังจากแยกกันตนจึงเริ่มศึกษาดูใจกับภรรย าใหม่ ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องสะใภ้ของภรรยา แล้วมีลูกสาวด้วยกัน 1 คน โดยตนรู้ว่าตนผิด เนื่องจากตนยังไม่ได้จดทะเบียนหย่ า

แต่ถึงอย่างนั้นตนก็คงทำหน้าที่สามี ส่งเงินให้ทุกเดือน เดือนละ 5,000 บาท จากนั้นในปี 2559 ภรรย าได้ขอคืนดีกับตนหลายครั้ง แต่ตนไม่ยินยอม และมีปัญหากันตลอด ทำให้ตนตัดสินใจไม่ยุ่งเกี่ยวอีกต่อไป จากนั้นตนก็ได้ถูกสอบสวนทางวินัย ได้รับการลงโทษ และยุติการให้เงิน ตนขอชี้แจงว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาในครอบครัว ตนพย าย ามทำทุกอย่างให้ถูกต้องที่สุด จากนี้ทุกอย่างขอให้เป็นไปตามกระบวนการของศาล อยากได้เงินก็ต้องไปฟ้องศาล

ขอบคุณ ทุบโต๊ะข่าว Amarin TV 34

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ