หมอปลาเปิดทางษิทราช่วยลุงพล

หมอปลาเปิดทางษิทราช่วยลุงพล

เมื่อวันที่ 21 ม.ค.64 นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กดังต่อไปนี้ โดยในเวลานั้นชาวบ้านต่างช่วยกันค้นหาน้องชมพู่ที่หายตัวไป ตนได้ตะโกนเรียกลุงพล ซึ่งยืนอยู่บริเวณตี-นภู ห่างตนประมาณ 5 เมตร เนื่องจากจุดที่ตนยืนอยู่ต้นหญ้าขึ้นรก ตนกลัวว่าตนจะก้าวพลาดและได้รับบาดเจ็บ แต่ลุงพลไม่ตอบแล้วเดินหายไป ซึ่งสีหน้าของลุงพล ณ ขณะนั้น เหม่อลอย ตนไม่ทราบว่าการเข้าเครื่องจับเท็จจะสามารถจะช่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถสรุปคดีได้หรือไม่ แต่ตนก็ยังคงมีความหวังว่า อยากให้จับตัวคนร้ายให้ได้และปิดคดี และตนอยากจะถามคนร้ายว่า ทำทำไม มีจุดประสงค์อะไร

สัปดาห์หน้าผมจะลงไปบ้านกกกอกนะครับ เนื่องจากลุงพลติดต่อมาหลายครั้ง ขอให้ผมลงไปช่วยคดีน้องชมพู่ เนื่องจากมีข่าวลือมาว่า ตำรวจอาจใช้เครื่องจับเท็จเป็นหลักฐานในการดำเนินคดี ในฐานะทนายผมยืนยันเลยนะครับว่า ในศาลเครื่องจับเท็จไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีในการใช้เป็นหลักฐาน เนื่องจากมีความคลาดเคลื่อนเยอะ

ผมก็เหมือนกับทุกคน ที่อยากรู้ว่าใครเป็นคนทำน้องชมพู่ อ่านตามหลักฐานนิติเวชก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าน้องจะหลงป่า ที่สำคัญถ้าไม่มีหลักฐานชัดเจน มีแต่ความระแวงสงสัย เราอาจกำลังสร้างอีกคนในการใส่ร้า ยผู้อื่น หลักในการทำคดีของผม คือ ไม่มีใครสมควรได้รับโทษในความผิดที่ไม่ได้ทำ ผมรู้ว่าทุกคนเบื่อกับคดีนี้มาก แต่ผมไม่อาจปล่อยผ่านได้จริง ๆ เดี๋ยวจะลงพื้นที่และตรวจสอบดู ค่อยตัดสินใจอีกครั้งว่าจะรับทำคดีหรือไม่อย่างไรครับ นิสัยของลุงพลไม่เกี่ยวอะไรกับความจริงที่เกิดขึ้นในคดีนะครับ ต่อให้ลุงพลน็อตหลุดกับนักข่าว หรือมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป ก็ไม่ได้แปลว่าเขาเป็นคนทำ ความรัก ความชื่นชม ของแฟนคลับและแอนตี้ไม่มีผลอะไรกับคดีทั้งนั้น อยากให้แยกแยะตรงนี้กันก่อน ผมจะเชื่อว่าลุงพลทำ ก็ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่พบหลักฐานที่น่าเชื่อถือมาเอาผิดครับ

ทีมข่าวได้วิดีโอคอลไปยัง นายษิทรา กล่าวให้สัมภาษณ์ ผ่านรายการทุบโต๊ะข่าว ทางอมรินทร์ทีวี เอชดี ช่อง 34 ว่า จริง ๆ แล้วลุงพลติดต่อหาตนหลายครั้งแล้ว แต่ในส่วนคดีของน้องชมพู่ ได้พูดคุยกันเมื่อ 2-3 วันที่แล้ว ลุงพลโทรศัพท์มาให้ช่วยคดี บอกว่าเชื่อในฝีมือของตนและมั่นใจอยากให้ทำคดีดังกล่ว ในเมื่อมีคนเข้ามาขอความช่วยเหลือ ตนก็อยากจะช่วย แต่ตนขอลงพื้นที่บ้านกกกอกก่อน จะได้ตัดสินใจและตอบได้เต็มปากเต็มคำว่า จะเป็นทนายในคดีน้องชมพู่

ส่วนประเด็นที่มีคนตั้งข้อสงสัยว่าลุงพลเป็นคนทำหรือไม่นั้น ก็เป็นสิ่งดีที่ดีที่ลุงพลติดต่อทนายไว้ก่อน เหมือนกับคดี 30 ล้านของลุงจรูญ ที่ติดต่อเข้ามาหาตนก่อนจะเป็นคดีความ แต่หากตนเป็นผู้ติดต่อไปทำคดีเอง แบบนี้ก็น่าจะตั้งข้อสังเกตในประเด็นคุณอัจฉริยะได้ และเขาก็เข้ามาทุกคดีอยู่แล้ว อย่านำตนไปโยงเลย ดังนั้นการที่ตนเข้าไปทำคดีจึงไม่เกี่ยวกับคนนอก แต่ตนก็ไม่ทราบว่าทำไมจังหวะมันได้แบบนี้ แต่ยินยันว่าลุงพลติดต่อมาพอดี ตนจึงต้องลงพื้นที่ไปดูเสียก่อน ทั้งนี้คดีน้องชมพู่

ตนยอมรับว่าไม่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด แต่มีข้อมูลเรื่องที่แพทย์บอกว่าเด็กอาจจะสามารถเดินขึ้นเขาไปได้ แต่ก็โดนทัวร์ลง ฉะนั้นตนจึงอยากไปพิสูจน์ที่บ้านกกกอก และตนก็มีความสนิทกับทนายรัชพล แต่ไม่ได้คุยกันเรื่องขึ้นเขาภูเหล็กไฟว่ามีความยากง่ายแค่ไหน ใจของตนอยากจะช่วยลุงพลอยู่แล้ว แต่ขอลงพื้นที่ไปดูพยานหลักฐานต่าง ๆ ถึงวลานั้นถ้าตนมั่นใจแล้ว ก็จะได้ช่วยอย่างเต็มที่ เพราะหลายคนก็อยากรู้ว่าใครทำน้องชมพู่ ตนก็เป็นหนึ่งคนที่อยากรู้เช่นกัน

นอกจากนี้ ลุงพล ยังบอกตนว่าเชื่อมั่นในฝีมือและความสามารถในการว่าความของตน จึงเจาะจงต้องเป็นทนายตั้ม ให้เข้ามาช่วยเหลือในคดีน้องชมพู่ ส่วนหนึ่งตนก็รับรู้ข้อมูลจากสื่อว่า ลุงพลเป็นเพียงผู้ต้องสัยที่เข้าเครื่องจับเท็จ แต่ถ้าเป็นฆาตกรจะไม่ชอบอยู่กลางแสงไฟ ลุงพลจึงมีความแตกต่าง เป็นเหตุผลหนึ่งที่ตนจะต้องลงพื้นที่พูดคุยกับลุงพลอย่างที่ตนได้กล่าวไปข้างต้น อีกทั้งอย่าลืมว่าลุงพลเป็นชาวบ้านธรรมดาที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัด วิธีคิดหลายอย่างอาจไม่เหมือนตนหรือคนเมือง การสื่อสารอะไรออกมาจึงไม่เหมือนกัน ฉะนั้นวันนี้ตนยังไม่ได้เข้าไปอย่างเต็มตัว ก็เลยยังไม่ได้เผื่อใจว่า ถ้าเหตุการณ์ของตนเป็นแบบหมอปลา ตนจะออกมาแบบไหน ถ้าเป็นแบบหมอปลาจริง ๆ ก็คงออกอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้เป็นข่าวอะไร ตนไม่ได้เป็นแฟนคลับลุงพล ยอมรับว่าไม่ได้ติดตามข่าวทั้งหมด และไม่เคยพบเจอครอบครัวน้องชมพู่ แต่ถ้าพ่อแม่เด็กไม่รังเกีย จ ก็อยากจะเข้าไปพูดคุยกับพ่อแม่น้องชมพู่ เพราะหากมีข้อมูลรอบด้านย่อมเป็นสิ่งที่ดี

ส่วนหมอปลาก็เข้ามาคุยกับตนที่บ้าน คุยกันหลายเรื่อง แต่ขอไม่เปิดเผยรายละเอียด ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหาย ตนก็ถามหมอปลาว่า จะโกรธตนหรือไม่ที่ตนเข้าไปทำคดีน้องชมพู หมอปลาก็ตอบว่า เป็นเรื่องส่วนตัว แยกออก เป็นหน้าที่ของทนายตั้ม เรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานหมอปลาสามารถแยกออกจากกันได้ สาระสำคัญที่ตนทำคดีเป็นข้อเท็จจริง ส่วนความไม่ลงรอยของลุงพลกับใคร ตนจะไม่เอามาเป็นข้อพิรุธว่าใครเป็นคนทำน้องชมพู่ อย่างไรก็ตาม ต้องบอกเลยว่า ผมไม่ได้ไปฟรี ๆ ผมมีอาชีพทนายความ ต้องเลี้ยงครอบครัว ฉะนั้นลุงพลก็จะมีสิ่งตอบแทนให้ นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงเขยของน้องชมพู่ เปิดเผยว่า ได้ประสานทนายตั้มมาช่วยดูแลคดีน้องชมพู่ เพราะกลัวมีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งจะเตรียมการไว้ก่อน และตนเชื่อใจทนายตั้ม และเขายังเป็นผู้ดูแลคดีหมิ่นประมาทที่ตนมีกับนายอัจฉริยะ รวมถึงยืนยันว่า ไม่ได้ร้อนตัว เพราะตุ่มยังไม่ขึ้นที่ตัวผม แต่ต้องมีวัคซีนดี ๆ มาป้องกัน ซึ่งทนายตั้มจะเดินทางมาในสัปดาห์หน้า

ในส่วนประเด็นที่นายอัจฉริยะพูดเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งเทวดานางฟ้าและเหล็กไหล ตนยืนยันว่าทั้งชีวิตไม่รู้เรื่องขั้นตอนการตั ดเหล็กไหลมาก่อน เพราะหมอปลาก็เคยบอกว่า น้องชมพู่เป็นเ ด็ กบ ริ สุทธิ์ ไม่สามารถทำอะไรได้ ส่วนการที่นายอัจฉริยะ ยื่นร้องเรียนเรื่องตนสร้างพญานาคว่าไม่เหมาะสม เพราะเป็นที่ดินของป่าไม้นั้น ตนก็ไม่กังวลเรื่องอะไร และจะสร้างต่อให้เสร็จ รวมถึงเรื่องไม้นั้น ตนก็ไม่รู้ว่าเป็นไม้อะไร เจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้ามายกไปแล้วเมื่อวานนี้ (20 ม.ค.64) ตนก็ยินดีที่ปล่อยไปตามกระบวนการ ส่วนคนที่จ้องจับผิด ตนมองว่าเขาอยากให้ตนดังมากกว่า กรณีเงินบริจาคเทพื้นสำนักสงฆ์ภูหลวง นายไชย์พล บอกว่า วันนี้เตรียมนำสมุดบัญชีในธนาคารไปเบิกเงินที่เหลือจำนวน 328,601.75 บาท มาใช้จ่ายค่าแรงช่าง ค่าปูน และบำรุงพระพุทธศาสนา รวมถึงสอบถามกรมสรรพากรถึงเรื่องการเสียภาษี ก่อนจะทำปิดบัญชีต่อไป และจากนี้จะไม่เปิดบัญชีรับบริจาคอีกแล้ว

อ่านเพิ่มเติม

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ