รำลึก ปีชาตกาลหลวงพ่อคูณ

รำลึก ปีชาตกาลหลวงพ่อคูณ

วันอาทิตย์ที่ 4 ต.ค.2563 น้อมรำลึกครบรอบ 97 ปี ชาตกาล พระเทพวิทยาคม หรือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา อดีตพระเกจิชื่อดังที่ชาวไทยให้ความเลื่อมใสศรัทธา เอกลักษณ์ที่โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์แก่คณะศิษยานุศิษย์ผู้พบเห็น คือ การนั่งยอง พูดกูมึง ดำรงตนแบบสันโดษ จนกลายเป็นภาพที่เห็นกันชินตา ด้านวัตถุมงคลมีมากมายหลายประเภท ซึ่งล้วนได้รับความนิยมและแสวงหาทั้งสิ้น เกิดในสกุล ฉัตรพลกรัง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 ต.ค.2466 ที่บ้านไร่ ม.6 ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา บิดา-มารดา ชื่อ นายบุญ และนางทองขาว ฉัตรพลกรัง มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 3 คน ครอบครัวประกอบอาชีพชาวไร่ชาวนาที่อยู่ห่างไกลความเจริญ

ในวัยเยาว์ ท่านต้องสูญเสียโยมบิดามารดาในขณะที่ลูกทั้ง 3 คน ยังเป็นเด็ก ท่านกับน้องๆ จึงอยู่ในความอุปการะของน้าสาว เมื่ออายุ 6-7 ขวบ เข้าเรียนหนังสือกับ พระอาจารย์ฉาย และพระอาจารย์หล ทั้งภาษาไทย และภาษาขอม นอกจากนี้ ยังมีเมตตาอบรมสั่งสอนวิทยาคม เพื่อป้องกันอันตรายต่างๆ ด้วย กระทั่งอายุครบ 21 ปี เข้าพิธีอุปสมบท ที่พัทธสีมาวัดถนนหักใหญ่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันศุกร์ที่ 5 พ.ค.2487

ได้รับฉายาว่า ปริสุทโธ ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแดง วัดบ้านหนองโพธิ์ ต.สำนักตะคร้อ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา หลวงพ่อแดง เป็นพระนักปฏิบัติทางด้านคันถธุระและวิปัสสนาธุระอย่างเคร่งครัด อีกทั้งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เรืองวิทยาคมยิ่ง จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนและลูกศิษย์เป็นอย่างมาก

อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อแดงมานานพอสมควร หลวงพ่อแดงจึงพาไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อคง พุทธสโร ซึ่งหลวงพ่อทั้งสองรูปนี้ เป็นสหธรรมิกกัน ต่างให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เมื่อมีโอกาสได้พบปะ มักแลกเปลี่ยนธรรมะ ตลอดจนวิทยาคมเสมอ เวลาล่วงเลยผ่านไป กระทั่งหลวงพ่อคง เห็นว่าลูกศิษย์มีความรอบรู้ชำนาญการปฏิบัติธรรมดีแล้ว จึงแนะนำให้ออกธุดงค์จาริกไปตามป่าเขาลำเนาไพร ฝึกปฏิบัติธรรมเบื้องสูงต่อไป ครั้งแรก ท่องธุดงค์จาริกอยู่ในเขตจังหวัดนครราชสีมา จากนั้นจาริกออกไปไกลถึงประเทศลาว และประเทศเขมร

หลังจากที่พิจารณาเห็นสมควรแก่กาลแล้ว จึงออกเดินทางจากประเทศเขมรเดินทางกลับสู่ประเทศไทย เดินข้ามเขตด้านจังหวัดสุรินทร์ สู่จังหวัดนครราชสีมา กลับบ้านเกิด จากนั้นเริ่มดำเนินการก่อสร้างวัดบ้านไร่ เริ่มสร้างอุโบสถ กุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ขุดสระน้ำไว้เพื่ออุปโภคและบริโภค และที่สำคัญยังสร้างโรงเรียนไว้เพื่อเด็กบ้านไร่อีกด้วย

เป็นพระนักพัฒนา ที่มีสาธุชนให้ความศรัทธายิ่ง บริจาคทานจำนวนมหาศาล เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ให้แก่ประชาชนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศและล่วงเลยไกลไปถึงในต่างแดนเลยทีเดียว ลำดับสมณศักดิ์ วันที่ 12 ส.ค.2535 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระญาณวิทยาคมเถร 10 มิ.ย.2539 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระราชวิทยาคม 12 ส.ค.2547 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระเทพวิทยาคม ด้วยอายุขัยที่ล่วงเลยเข้าสู่วัยชราภาพ บ่อยครั้งทำให้ท่านอ่อนแรง สุขภาพไม่แข็งแรงดังเดิม กระทั่งล้มป่วยเป็นประจำ ต้องเข้าออกโรงพยาบาลหลายครั้ง

คณะแพทย์ขอให้ท่านพักรักษาตัวที่ โรงพยาบาลมหาราชและได้ให้การรักษาอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด กระทั่งเวลา 11.45 น. วันเสาร์ที่ 16 พ.ค.2558 ที่โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา จึงมรณภาพอย่างสงบ สิริอายุ 92 ปี พรรษา 71 อุทิศร่างกายเป็นอาจารย์ให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ขอบคุณ ข่าวสด

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ