พ่อแม่น้องชมพู่ ร้อง กมธ ถูกสื่อคุกคาม
เรื่องราวของหมู่บ้านกกกอก ก็ยังคงดำเนินต่อไปโดยการที่ยังไม่สามารถรวบตัวคนผิดได้สำหรับคดีน้องชมพู่ การลงพื้นที่จังหวัดมุกดาหารของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน นำโดยนายสิระ เจนจาคะ ประธาน กมธ. วันนี้นอกจากจะตรวจสอบจุดพบศพน้องชมพู่บนภูเหล็กไฟ ยังพูดคุยกับชาวบ้านกกกอก หลายคนเปิดใจถูกสื่อมวลชนคุกคาม โดยเฉพาะพ่อแม่น้องชมพู่ ยอมรับว่า รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสินค้า และสื่อช่องหนึ่งก็มีพฤติกรรมละเมิดความเป็นส่วนตัว
ได้มีการเปิดเผยความรู้สึกของนายอนามัยและนางสาวิตรี วงศ์ศรีชา พ่อแม่น้องชมพู่ ต่อคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ที่ระบุว่า ถูกสื่อช่องหนึ่งรุกล้ำความเป็นส่วนตัวโดยมาแอบถ่ายภาพไปเขียนข่าวทั้งที่ครอบครัวไม่อนุญาต มิหนำซ้ำยังแอบเข้าไปสัมภาษณ์น้องสะดิ้ง ลูกสาวคนโตถึงโรงเรียน โดยบอกว่าพ่อแม่อนุญาตแล้ว ทั้งที่ความเป็นจริงไม่ได้มาขอพ่อแม่ก่อน โดยทั้งพ่อและแม่น้องชมพู่ขอไม่พูดว่าเป็นสื่อช่องไหน แต่จะกระซิบหลังไมค์กับนายสิระ เจนจาคะ ประธาน กรรมาธิการชุดนี้ พร้อมบอกว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้สื่อช่องดังกล่าวออกจากพื้นที่ ขณะที่ นายไชย์พล วิภา ลุงของน้องชมพู่ ร้องเรียนว่า มีความไม่สบายใจต่อการทำงานของตำรวจ ว่าอยู่ในกรอบของกฎหมายหรือไม่
เพราะก่อนหน้านี้เคยเข้ามาตรวจค้นบ้านและรถกระบะโดยไม่มีหมายค้น ซึ่งตนเองก็ยอมให้ตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ แต่ก็ติดใจสงสัยมาตลอด นอกจากนี้ ตำรวจยังเคยพาตนเองไปถ่ายรูปด้านหน้า-หลัง ทั้งแบบเต็มตัวและครึ่งตัว ซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังไม่ทราบว่าจะนำรูปไปทำอะไร
เช่นเดียวกับภรรยาของนายนริน ผู้ตัองหาคดีอนาจารเด็กหญิงวัย 5 ขวบในหมู่บ้านเดียวกันที่ตำรวจควบคุมตัวก่อนหน้านี้ บอกว่ารู้สึกคลางแคลงใจในการทำงานของตำรวจเช่นกัน และอยากให้มีการตรวจสอบ หลังจากสามีถูกจับกุมช่วงคดีน้องชมพู่ ซึ่งนายสิระ เจนจาคะ ประธาน กมธ. ยืนยันว่า จะนำเรื่องร้องเรียนทั้งหมดไปหารือภายในคณะกรรมาธิการและตรวจสอบเรื่องร้องเรียนในหมู่บ้านกกกอกทั้งหมด
นอกจากนี้ บางช่วงของการพูดคุยกับชาวบ้าน นายสิระได้ขอให้ลุงพลและแม่น้องชมพู่เขยิบมานั่งใกล้กันพร้อมบอกว่ามีอะไรก็พูดคุยปรับความเข้าใจกันได้หรือไม่ ซึ่งแม่น้องชมพู่บอกว่า ตอนนี้ยังไม่พร้อม ขอให้คดีจบก่อน ขณะที่ลุงพลบอกว่าแล้วแต่ทางแม่น้องชมพู่สบายใจ
นอกจากการพูดคุยกับชาวบ้าน ภารกิจหนึ่งของคณะ กมธ. วันนี้คือการขึ้นเขาพิสูจน์จุดที่น้องชมพู่เสียชีวิตบนภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้านประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งภายหลังจากที่เดินขึ้นไปถึงจุดพบศพ ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชม. คณะ กมธ. หลายท่านพูดเป็นเสียงเดียวว่า เส้นทางขึ้นเขาค่อนข้างลำบาก รวมถึงนายสิระ เจนจาคะ ประธาน กมธ. ที่ระหว่างทางมีชาวบ้านถามว่าเดินขึ้นมาเหนื่อยไหม ซึ่งประธาน กมธ. ตอบกลับว่าจากเดิน 2 ขา กลายเป็น 4 ขาแล้ว
แม้ว่านายสิระจะยอมรับว่าเส้นทางขึ้นเขาไปยังจุดพบศพค่อนข้างลำบาก เป็นไปได้ยากที่เด็ก 3 ขวบจะขึ้นมาเอง แต่ก็ยังไม่ได้ตัดประเด็นนี้ทิ้ง โดยมองว่ามีโอกาสเป็นไปได้หากพ่อแม่เคยพาขึ้นมาก่อนหน้านี้ ซึ่งพอขึ้นมาเห็นสภาพพื้นที่จริงทำให้เข้าใจการทำงานของตำรวจมากขึ้นว่า ทำไมจึงต้องรวบรวมพยานหลักฐานมากมายขนาดนี้และไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง
อย่างไรก็ตาม ก็ยังรู้สึกว่าการทำคดีควรเปิดโอกาสให้ผู้ต้องสงสัยออกมาต่อสู้แสดงความบริสุทธิ์ใจตามกระบวนการทางกฎหมาย โดยนายสิระ ระบุว่า หากผู้ที่ถูกออกหมายจับรู้สึกว่าต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์และต้องการประกันตัวออกมาต่อสู้ในชั้นศาล ตนเองพร้อมใช้ตำแหน่ง ส.ส. ประกันตัวให้ ด้าน พ.ต.อ.ชัชชัย วงศ์สุนะ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร
ยืนยันว่า ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานโดยยึดผลทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมาผลชันสูตรทั้งสองฉบับจากโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์จังหวัดอุบลราชธานี และสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ บอกตรงกันว่าไม่พบสาเหตุการเสียชีวิตและไม่มีบาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ความตาย จึงไม่เคยตัดปมใดทิ้ง ส่วนกรณีที่ต้องตรวจดีเอ็นเอคนกว่า 100 คน พ.ต.อ.ชัชชัย บอกว่าตำรวจมีตัวตั้งการตรวจดีเอ็นเอของบุคคลที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของน้องชมพู่ การที่ต้องตรวจดีเอ็นเอคนจำนวนมากขนาดนั้น
เป็นเพราะต้องการตัดคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากคดี นอกจากนี้ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร และประธาน กมธ. มีความเห็นตรงกันกรณีเพจเฟซบุ๊กชมรมช่วยเหลือเหยื่อาชญากรรม ของนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ไลฟ์ โดยอ้างว่าน้องชมพู่ถูกตีจนช็อกเสียชีวิต ว่าไม่ควรให้ค่าคำพูดของผู้ที่ไม่เคยลงมาตรวจสอบจุดเกิดเหตุ ส่วนกรณีช่วงเช้าวันนี้ที่ชาวบ้านพบเสื้อสีส้มตัดขอบสีขาว ซุกไว้อยู่ใต้ขอนไม้บริเวณสวนยาง
ใกล้บ้านหลังหนึ่งภายในหมู่บ้านกกกอก และห่างจากจุดพบเสื้อประมาณ 4 เมตร มีเศษผ้าสีขาวตกอยู่ ซึ่งตำรวจ สภ.กกตูมได้เก็บไปตรวจสอบนั้น รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร ยังไม่ยืนยันว่ามีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับคดีของน้องชมพู่หรือไม่ เนื่องจากเวลาผ่านมานานแล้วจึงอาจจะเป็นเสื้อของบุคคลอื่นทิ้งไว้ก็ได้ แต่ว่าจะมีการตรวจสอบให้ชัดเจน ขณะที่แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ให้ข้อมูลว่า
การพบเสื้อสีส้มต้องเชื่อมโยงก่อนว่ามีความเกี่ยวข้องกับใคร หรือผู้ต้องสงสัยหรือไม่ หรือมีภาพจากกล้องวงจรปิดบันทึกได้ว่าผู้ต้องสงสัยใส่เสื้อตัวนี้ในวันเกิดเหตุ จึงจะสามารถพิสูจน์ดีเอ็นเอได้ ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย แต่หากเสื้อที่พบไม่สามารถเชื่อมโยงผู้ต้องสงสัยได้ การเก็บดีเอ็นเอจะไม่มีประโยชน์ พร้อมย้ำว่า การเก็บดีเอ็นเอจากเสื้อที่ถูกทิ้งหลายวันเป็นเรื่องยาก เพราะมีสภาพอากาศและฝนเป็นเงื่อนไขให้ดีเอ็นเอไม่ชัดเจน
ขอบคุณ pptvhd36.com