
ป้าสุดช้ำใจ ถูกแก๊งคอลฯ หลอกเงิน 2.4 ล้าน เยาะเย้ยลั่น เวรกรรมหน้าตาเป็นยังไง
เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางนันทา พิมพ์จำปา อายุ 68 ปี และนายสัญชัย พิมพ์จำปา อายุ 75 ปี ชาวบ้านตำบลดู่ทุ่ง อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร ได้ร้องต่อสื่อมวลชนเพื่อเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำคดีติดตามเงินจำนวนกว่า 2.4 ล้านบาท หลังถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกไป พร้อมทั้งต้องการที่จะเป็นอุทาหรณ์ และเตือนภัยให้กับคนทั่วไปได้ทราบถึงวิธีการ และการหลอกล่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อไม่อยากให้คนอื่นตกเป็นเหยื่อ
โดยนางนันทา พิมพ์จำปา เล่าว่าเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคม 2568 ที่ผ่านมา ได้มีโทรศัพท์เบอร์แปลกเข้ามาที่โทรศัพท์มือถือของตน เป็นเสียงผู้หญิง โดยปลายสายอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของธนาคาร เนื่องจากตรวจพบว่ามีคนใช้ชื่อตนเองไปเปิดบัญชีธนาคาร และสงสัยว่าจะนำบัญชีธนาคารของตนเองไปกระทำผิดกฎหมาย จึงขอให้ตนเองซึ่งเจ้าของบัญชีไปแจ้งความกับตำรวจที่ สภ.เมืองอุบลราชธานี แต่ตนไม่สามารถที่จะเดินทางไปได้ เพราะไม่มีรถที่จะเดินทางไป
ทางปลายสายจึงให้เบอร์เจ้าหน้าที่ตำรวจมา และแจ้งให้โทรฯ ไปตามเบอร์ที่ให้มาแล้วจะมีตำรวจรับแจ้งความให้ จากนั้นตนจึงโทรไปและมีเสียงผู้ชายรับและอ้างว่าเป็นตำรวจยศผู้กอง จะรับแจ้งความให้พร้อมกับโอนสายให้สารวัตรพูดด้วย หลังจากนั้นคนที่อ้างว่าเป็นสารวัตรได้วิดีโอคอลกลับมาหาตนอีกครั้ง และเห็นว่าเป็นตำรวจแต่งเครื่องแบบเต็มยศตนจึงเชื่อว่าเป็นตำรวจจริงๆ ซึ่งตำรวจแจ้งว่าบัญชีธนาคารของตนถูกนำไปใช้ฟอกเงิน จำนวน 14 ล้านบาท โดยบัญชีของตนถูกขายไปให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 50,000 บาท ตนตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูกและมีความกลัว
จากนั้นทางตำรวจบอกว่าจะให้การช่วยเหลือแต่ต้องขอให้นำเงินและทรัพย์สินต่างๆ ของตนที่มีอยู่มาให้ตำรวจตรวจสอบทั้งหมด ถ้าไม่อย่างนั้นทรัพย์สินทั้งหมดก็จะถูกยึดและลูกของตนที่เป็นข้าราชการทั้ง 2 คน ก็จะถูกให้ออกจากราชการ ตนจึงยินยอม ปลายสายยังบอกให้ตนไปเอาทรัพย์สินที่มีอยู่ในบ้านมาโชว์หน้ากล้องเพื่อให้ตำรวจดู ตนจึงไปเอาเงินสดที่เก็บเอาไว้ในบ้าน จำนวน 9 หมื่นบาท และทองคำรูปพรรณ หนัก 9 บาท มาโชว์ให้ดู ปลายสายจึงบอกให้ตนนำทองคำไปขายหรือจำนำ และให้นำเงินสดทั้งหมดไปฝากเข้าธนาคารตนก็ทำตาม หลังจากที่นำเงินสดฝากเข้าธนาคารแล้วก็กลับมาบ้านก็วิดีโอคอลมาอีก และบอกให้ตนกดเข้าแอปธนาคารตนก็ทำตามที่ปลายสายบอกทุกขั้นตอนแล้วก็โอนเงินไปจนหมดบัญชี
วันต่อมาเขาคอลฯ กลับมาอีกบอกให้ตนนำโฉนดที่ดินที่มีอยู่ไปจำนอง ซึ่งตนบอกว่าไม่มีรถที่จะเดินทางไป ทางปลายสายได้ให้เบอร์รถรับจ้างที่บริการวิ่งรับจ้างอยู่ใน บขส.ยโสธรมาให้ ตนจึงโทรฯ ไปเรียกให้รถรับจ้างมารับเข้าไปในตัวเมืองยโสธร เพื่อนำโฉนดที่ดิน จำนวน 10 ใบ ไปจำนองได้เงินมาประมาณ 9 แสน แล้วนำไปฝากกับธนาคารอีกและกลับมาถึงบ้าน เขาก็คอลฯ มาอีกบอกให้ตนเข้าแอปธนาคารแล้วก็โอนเงินไปจนหมดบัญชีอีก ซึ่งตนมีการโอนเงินไปหลายครั้ง ประมาณ 4 – 5 ครั้ง ครั้งละประมาณกว่า 4 แสนบาท โดยทางปลายสายจะวิดีโอคอลมาหาตนทุกวัน และจะคุยอยู่กับตนตลอดเวลาทั้งวันเป็นเวลาประมาณ 21 วัน และห้ามไม่ให้ตนนำเรื่องไปบอกใคร แม้กระทั่งลูกของตน และบอกให้ตนอยู่แต่ในบ้านห้ามออกไปไหน
จนกระทั่งล่าสุดวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมาเขาคอลฯ กลับมาอีก ขอให้ตนโอนเงินไปให้อีก แต่ตนไม่มีเหลือแล้วจึงได้ไปขอยืมเพื่อนบ้านมาได้ 1 แสนบาท แล้วโอนไปให้เป็นก้อนสุดท้าย ระหว่างนั้นปลายสายได้ขอเบอร์โทรศัพท์ลูกชายของตน ตนจึงให้ไป จนกระทั่งช่วงบ่ายวันเดียวกันลูกชายตนได้เดินทางกลับจากที่ทำงานมาหาตนที่บ้าน พร้อมกับเล่าให้ฟังว่ามีแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรฯ ไปหาบอกว่าให้ไปดูแม่ด้วย เนื่องจากแม่ถูกหลอกให้โอนเงินจนหมดตัวแล้ว และยังด่าลูกชายอีกว่าเป็นลูกเนรคุณไม่ดูแลพ่อแม่ พร้อมกับได้ส่งภาพที่ตนเองโชว์เงินและทองคำให้ลูกชายดูด้วย ตนจึงรู้ตัวว่าถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก
สรุปแล้วตนเสียเงินไปทั้งสิ้น จำนวน 2 ล้าน 4 แสนบาท โดยโอนไปหลายครั้ง แต่ละครั้งบัญชีปลายทางจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นในช่วงค่ำของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 ลูกชายจึงได้พาตนเข้าแจ้งความร้องทุกข์เอาไว้ที่ สภ.เมืองยโสธร เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามจับกุมตัวแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เร่งติดตามเงินที่ตนสูญไปกลับคืนมาให้ด้วย และอยากฝากเตือนภัยให้กับคนทั่วไปอย่าไปหลงเชื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ถ้ามีเบอร์แปลกๆ เข้ามาห้ามรับสายและอย่าไปหลงเชื่อโดยเด็ดขาด เพราะอาจจะตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหมือนอย่างตน