ป้าติ๋ม ร้องถูกพนักงานลอบนำรถโม่ปูนไปขาย เหลือแค่เล่มทะเบียน 32 คัน
ป้าติ๋ม” ผู้ก่อตั้งบ้านนางฟ้าของสัตว์จร และเป็นผู้บริหาร บริษัท ธีรพิชญ์ จำกัด พร้อมลูกสาวนำเอกสารพร้อมเล่มทะเบียนรถจำนวน 32 เล่ม เข้าร้องเรียนกับผู้สื่อข่าว กรณีถูกพนักงานของบริษัท ลักลอบนำรถโม่ปูนไปขายจำนวน 32 คัน พร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆในบริษัท ความเสียหายกว่า 20 ล้านบาท โดยขณะนี้ผู้ต้องหาเข้ามอบตัวกับตำรวจและถูกส่งตัวเข้าเรือนจำไปแล้ว แต่ตำรวจยังไม่สามารถติดตามรถกลับมาได้เลยทั้งที่เวลาผ่านมา 8 เดือนแล้ว
“ป้าติ๋ม” เปิดเผยว่า บริษัทตนดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับรถโม่ปูน เปิดมาแล้ว 38 ปี เคยมีรถโม่ปูนมากสุดถึง 280 คัน รายได้หลักมาจากการทำธุรกิจด้านการขนส่งคอนกรีต ซึ่งมีเงินเหลือนำมาช่วยดูแลสุนัขและแมวกว่า 3,000 ตัว ต่อมาเศรษฐกิจขาลงต้องทยอยขายรถ เพื่อนำเงินมาเลี้ยงดูสุนัขและแมว ซึ่งขณะดำเนินธุรกิจอยู่นั้น ชายอายุ45 ปี ซึ่งเป็นพนักงาน ตำแหน่งหัวหน้าช่างปฏิบัติงาน เป็นคนที่สามีไว้ใจให้ดูแลกิจการทุกอย่าง เรียกว่าเป็นมือขวาก็ได้ ต่อมาปี 2559 ได้ย้ายรถทั้งหมดพร้อมเครื่องมือช่างจาก จ.นนทบุรี ไปอยู่ที่จ.ปราจีนบุรี เหลือรถโม่ปูนทั้งหมด 32 คัน
ราวปี 2564 ได้มีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเดียวกับตน มีรถโม่ปูนกว่า 30 คัน ได้ติดต่อมาหาสามีถามว่า สนใจที่จะเอารถไปวิ่งงานคอนกรีตเพิ่มหรือไม่ โดยทางบริษัทเขาจะเป็นผู้รับงานให้ แล้วให้สามีบริหารจัดการรถทั้งหมด แต่สามีปฏิเสธไป ซึ่งเรื่องดังกล่าวหัวหน้าช่างปฏิบัติงานที่สามีตนไว้ใจทราบดี จึงไปเปิดบริษัทขึ้นมาเอง เพื่อรับงานจากบริษัทนั้นเอง ทั้ง ๆที่ยังเป็นลูกจ้างของบริษัทตน
ต่อมาสามีตนป่วยเป็นมะเร็งเสียชีวิต ทำให้ไม่มีคนไปดูแลกิจการแบบใกล้ชิดได้ ตนกับลูกชายก็ต้องคอยดูแลสุนัขและแมวอยู่ที่ จ.สระบุรี ปล่อยให้หัวหน้าช่างปฏิบัติงานคนดังกล่าว บริหารงานอยู่คนเดียว ซึ่งหัวหน้าช่างปฏิบัติงานคนดังกล่าวหาคนมาขับรถปูนของบริษัทอื่นเองทั้งหมด ค่าน้ำมันและรายจ่ายทุกอย่างที่บริษัทของหัวหน้าช่างปฏิบัติงานคนดังกล่าวเปิดมา ก็เอามาเป็นรายจ่ายของบริษัทตนทั้งหมด บริษัทตนมีรายได้เดือนละ 8 ล้านบาท แต่ค่าน้ำมัน 12 ล้านบาท บริษัทของหัวหน้าช่างปฏิบัติงานคนดังกล่าวรับรายได้ไปเต็มๆ100 เปอร์เซ็นต์ ทำให้บริษัทตนขาดทุนสะสมมาเรื่อย ๆ
ต่อมาหัวหน้าช่างปฏิบัติงานคนดังกล่าวทำงานร่วมกับอื่นครบ1 ปี ปรากฏว่า รถโม่ปูนกว่า 30 คัน ของนั้นถูกหัวหน้าช่างปฏิบัติงานคนดังกล่าวเอาไปขายจนเกลี้ยง ทั้ง ๆที่เล่มทะเบียนรถยังอยู่ที่บริษัทนั้น เจ้าของแจ้งความไว้ที่ สภ.ทุ่งคอก จ.สุพรรณบุรี จนกระทั่งศาลออกหมายจับหัวหน้าช่างปฏิบัติงานคนดังกล่าว ข้อหายักยอกทรัพย์ และหัวหน้าช่างปฏิบัติงานคนดังกล่าวได้เข้ามอบตัวเมื่อต้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา แล้วประกันตัวออกมา
ส่วนของตนทราบเรื่องตั้งแต่เดือนเม.ย.67 ว่าหัวหน้าช่างปฏิบัติงานคนดังกล่าวได้เอารถตนไปขายจนหมดเกลี้ยงเช่นกันรวม32คัน ทั้ง ๆที่เล่มทะเบียนยังอยู่ที่ตน ที่ทราบเรื่องเพราะมีคนโทรศัพท์มาขอซื้อเล่มทะเบียนรถในราคา 50,000 บาท อ้างว่าซื้อรถจ่ายเงินไปแล้ว 400,000 บาทไม่สามารถต่อทะเบียนได้ แต่ตนไม่ขายให้ เมื่อสอบถามหัวหน้าช่างปฏิบัติงานคนดังกล่าวก็อ้างว่า รถจอดเสียที่จังหวัดโน้นบ้าง จังหวัดนี้บ้าง แต่เมื่อให้ส่งโลเคชันที่รถจอดเสีย ปรากฏว่าหัวหน้าช่างปฏิบัติงานคนดังกล่าวไม่สามารถส่งมาได้ ตนจึงไปแจ้งความไว้ที่ สภ.ระเบาะไผ่ จ.ปราจีนบุรี เมื่อวันที่26 เม.ย.67 จนกระทั่งเมื่อวันที่25 พ.ย.67ทางพนักงานสอบสวนติดต่อให้หัวหน้าช่างปฏิบัติงานคนดังกล่าวเข้าไปมอบตัวในข้อหา ลักทรัพย์นายจ้าง และนำตัวส่งศาล พร้อมคัดค้านการประกันตัว ส่งตัวเข้าเรือนจำทันที
“ป้าติ๋ม” กล่าวต่อว่า ตนให้ข้อมูลกับตำรวจไปหมดแล้วว่า รถที่ถูกขโมยขายไป หลายคันไปอยู่ตรงไหนบ้าง เช่น บางคันไปอยู่ที่ ต.โนนดินแดง อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ อีกคันไปอยู่ที่อู่ใน อ.ประทาย จ.นครราชสีมา และอีกหลายที่ แต่ตำรวจไม่ได้สนใจติดตามรถ แถมยังไม่ได้มีการขยายผลถึงผู้ร่วมกระทำความผิด เพราะตนถามคนที่ซื้อรถไปว่าซื้อรถมาจากใคร หลายคนบอกว่า ซื้อจากหัวหน้าช่างปฏิบัติงานคนดังกล่าว นายยักษ์ นายนัท ซึ่งร่วมกันลักรถตนไปขาย แต่ตำรวจก็จับแค่หัวหน้าช่างปฏิบัติงานคนดังกล่าวเพียงคนเดียว ตนอยากรู้ว่าคนที่ซื้อรถตนไปนั้นเข้าข่าย ลักทรัพย์และรับของโจรหรือไม่ เพราะเอกสารรถยังอยู่ที่ตน ตนอยากได้รถกลับคืนมาเพื่อจะนำไปขายทอดตลาด แล้วเอาเงินไปใช้หนี้สินที่เกิดจากการกระทำของหัวหน้าช่างปฏิบัติงานคนดังกล่าว ที่เหลือก็จะเอามาซื้ออาหารเลี้ยงสุนัข แมวที่ยังเหลือรวมกันประมาณ 2,000 ตัว เวลาล่วงเลยมากว่า8 เดือนแล้ว แต่ตำรวจยังไม่สามารถติดตามรถกลับมาได้แม้แต่คันเดียว ทั้ง ๆที่รถโม่ปูนไม่ใช่รถคันเล็กๆ
ด้าน พ.ต.อ.สุรพร เทพเสน ผกก.สภ.ระเบาะไผ่ กล่าวว่า ได้ประสานฝ่ายสืบสวนไปแล้ว ให้ช่วยติดตามรถของผู้เสียหายกลับคืนมา ส่วนที่ผู้เสียหายให้ข้อมูลที่อยู่ของรถนั้น ก็จะประสานให้ฝ่ายสืบสวนเรียกมาสอบอีกครั้ง