เปิดยอดปิดโรงงาน 5 เดือนแรก ปิดกิจการพุ่ง
กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ข้อมูลโรงงานปิดกิจการในประเทศไทยประจำเดือนพฤษภาคม 2567 พบว่า โรงงานที่เลิกประกอบกิจการมีจำนวนทั้งสิ้น 69 แห่ง คิดเป็นเงินลงทุนเสียหายรวม 2,236.34 ล้านบาท และจำนวนพนักงานถูกเลิกจ้างงานมีทั้งสิ้น 1,907 คน เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤษภาคมในปี 2566 พบว่า โรงงานที่เลิกกิจการในเดือนพฤษภาคมปีนี้ มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากกว่าในเดือนเดียวกันของปีผ่านมาที่ 19.05% มีจำนวนพนักงานถูกเลิกจ้างเพิ่มขึ้น 4.91% และเงินลงทุนที่เสียหายเพิ่มขึ้น 12.15%
เมื่อนับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤษภาคม 2567 รวมเป็นเวลา 5 เดือน พบว่ามีโรงงานปิดกิจการรวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 485 แห่ง ทำให้สูญเสียเงินลงทุนรวมทั้งหมด 13,990.61 ล้านบาท ขณะที่ พนักงานในโรงงานที่ต้องปิดกิจการไปต้องตกงานมีจำนวนรวมกันถึง 12,472 คน เมื่อพิจารณากลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการปิดตัวมากที่สุดในช่วงเวลาดังกล่าว ได้แก่ การผลิตเครื่องหนัง การผลิตยาง อุตสาหกรรมการเกษตร อุตสาหกรรมไม้ และการผลิตเครื่องจักร
ในขณะที่ ย้อนหลังกลับไปตั้งแต่มกราคม 2565 มาถึงเดือนมิถุนายน 2567 หรือ 2 ปี 5 เดือนผ่านมา พบว่า จำนวนโรงงานปิดกิจการในไทยมีรวมทั้งสิ้น 3,418 แห่ง กระทบต่อเงินลงทุนสูญเสียรวม 231,245 และพนักงานในโรงงานตกงานมีจำนวนสะสมถึง 88,675 คน
เมื่อสัปดาห์ผ่่นไป สำนักวิจัย KKP Research ในเครือภัทรเกียรตินาคิน เปิดเผยว่า การปิดโรงงานในภาคอุตสาหกรรมที่เร่งตัวขึ้นชัดเจนตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2023 โดยค่าเฉลี่ยการปิดโรงงานของไทยอยู่ที่ 57 โรงงานต่อเดือนในปี 2021 และ 83 โรงงานต่อเดือนในปี 2022 ในขณะที่พุ่งสูงขึ้นถึง 159 โรงงานต่อเดือนในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 ส่งผลให้หากนับรวมตั้งแต่ต้นปี 2023 มาจนถึงไตรมาสแรกของปี 2024 มีโรงงานปิดตัวลงไปแล้วกว่า 1,700 แห่ง กระทบการจ้างงานกว่า 42,000 ตำแหน่ง
เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนผ่านมา นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เกี่ยวกับยอดปิดโรงงานในประเทศไทยนั้น ควรมองให้ครบรอบด้าน ทั้งการเปิดและปิดกิจการ ช่วงที่ผ่านมาก็สะท้อนการเปิดมากกว่าปิดโรงงาน ซึ่งเป็นกลไกเศรษฐกิจ มองว่าตอนนี้ยังไม่ได้เป็นประเด็นปัญหาในภาพใหญ่ของการปิดโรงงาน
หากดูตัวเลขปิดกิจการ พบว่าลดลงกว่าในช่วงที่ผ่านมา อัตราการเปิดธุรกิจสูงกว่า หากเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน การเปิดกิจเพิ่มขึ้นประมาณ 8% และยังมีจำนวนพนักงานจ้างใหม่มากกว่าพนักงานที่ถูกเลิกจ้าง เม็ดเงินการลงทุนยังคงเป็นบวกอยู่