เปิดสาเหตุแท้จริง ที่ต้นสังกัดเก่าฟ้อง สไปรท์ ล่าสุดจาก 14 ล้าน เหลือ 7 ล้าน
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 17 มิ.ย.67 ทนายเจมส์ นิติธร แก้วโต พาครอบครัวของน้องสไปรท์ นายศุกลวัฒน์ พวงสมบัติ นักร้องยอดกตัญญู หนุ่มแร็พเปอร์ชื่อดัง ประกอบด้วยนายกาวี พวงสมบัติ อายุ 43 ปี และน.ส.ศิรินทรา สุขโชค อายุ 40 ปี พ่อและแม่ของน้องสไปรท์ เดินทางออกมาจากศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา หลังก่อนหน้านี้ต้นสังกัดเก่าของน้องฟ้องเรียกค่าเสียหาย 14 ล้านบาท จากยอดวิวกว่า 420,000,000 วิว จนติดอันดับ 89 ในชาร์ต Billboard Global ส่วนตัวน้องสไปรท์ไม่ได้เดินทางมาด้วย เพราะไปทั่วคอนเสิรต์กับต้นสังกัดใหม่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 14 วัน
ทนายเจมส์ เปิดเผยว่า วันนี้เดินทางมาจากกรณีที่ต้นสังกัดเก่าของน้อง อ้างว่าน้องสไปรท์ทำผิดสัญญา จากกรณีไปร้องเพลง โชว์ผลงานเพลงตามสถานที่ต่างๆ โดยไม่ได้ขออนุญาตค่ายเก่า แต่จากการสืบทราบในส่วนตัว ทราบว่ามีการบอกเลิกสัญญากันแล้วทางเฟซบุ๊ก ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายต่างยกเลิกสัญญากันแล้ว แต่ตนไม่แน่ใจว่าทำไมถึงกลับมาฟ้องกันอีก
วันนี้ที่เดินทางมาศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา มี 2 อย่าง อย่างแรกคือการไกล่เกลี่ยกัน อย่างที่ 2 คือการนัดชี้ 2 สถานะ โดยอย่างแรก หลังจากมีการพูดคุยกัน ที่ฝั่งต้นสังกัดเก่าเรียก 14 ล้านบาท ได้พยายามอธิบายเหตุผลของเขาที่เรียกเงินจำนวนนี้ ซึ่งก็เข้าใจได้ แต่เหตุผลของฝ่ายเราคือ เงินรายได้ทั้งหมดที่น้องได้มาผ่านช่อง ไม่ได้ผ่านตัวน้อง ถ้าอยากฟ้องร้องต้องฟ้องเจ้าของช่อง ถ้าอยากฟ้องน้องต้องฟ้องในกรณีที่น้องมีรายได้ผ่านมาจากช่อง ในกรณีที่มีสัญญาผูกมัดกันอยู่ จะกี่เปอร์เซ็นต์ก็ว่ากันไปตามสัญญา
พอคุยกันได้สักระยะ จาก 14 ล้าน ต้นสังกัดเก่ายอมลดให้ 50 เปอร์เซ็นต์ คือ 7 ล้าน ซึ่งผมได้ปรึกษาพ่อและแม่ของน้องแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม เพราะในวันที่พ่อแม่ผลักดันน้อง จนมีชื่อเสียงโด่งดังไม่เคยมีใครเข้ามาช่วยเหลือ แต่อย่างน้อยน้องและพ่อแม่ยังสำนึกในบุญคุณที่หยิบยื่นโอกาสในครั้งแรกให้ แต่จำนวนเงินอาจจะไม่ได้เยอะขนาดนี้ ซึ่งหลังจากไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ จึงเป็นการชี้ 2 สถาน โดยโจทย์ฟ้องว่าอย่างไร จำเลยฟ้องว่าอย่างไร ศาลก็จะกำหนดเป็นข้อพิพาท ซึ่งเรื่องดังกล่าวมีเพียงแค่ประเด็นเดียว จึงไม่สลับซับซ้อน ศาลจึงสั่งให้สืบพยาน 2 นัด เข้าสู่ขั้นตอนกระบวนการของศาลต่อไป
ทนายเจมส์ เปิดเผยว่า โดยทางโจทก์สืบ 5 ปาก ทางฝั่งตนเองสืบ 4 ปาก ตนมองเรื่องการยกเลิกสัญญาว่า จู่ๆ จะบอกเลิกสัญญาชาวบ้านเลยไม่ได้ เพราะมีการเซ็นกัน 2 ฝั่ง ถ้าไม่มีเหตุบอกเลิกสัญญา แต่อีกกรณีคือการบอกเลิกสัญญากันด้วยลายลักษณ์อักษร และอีกกรณีคือการบอกเลิกสัญญากันโดยปริยาย อันนี้ไม่จำเป็นต้องมีลายลักษณ์อักษร แต่พฤติการณ์ที่ทั้ง 2 ฝั่งแสดงออกต่อกัน ตีความได้หรือไม่ว่ามีการบอกเลิกสัญญากัน ถ้าตีความได้ก็ไม่จำเป็นต้องมีลายลักษณ์อักษร