โผล่อีกราย เจ้าของที่สุดช้ำ โดนบุกรุกที่ดินมรดก ไล่ไม่ไป ลั่น จะครอบครองปรปักษ์

โผล่อีกราย เจ้าของที่สุดช้ำ โดนบุกรุกที่ดินมรดก ไล่ไม่ไป ลั่น จะครอบครองปรปักษ์

เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2567 ที่ผ่านมา ในรายการ ถกไม่เถียง สารภี สืบสาย (แว้ด) เจ้าของที่ดิน เล่าว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินมรดกเปล่า ๆ ตนได้มาตั้งแต่ปี 2527 มีโฉนดครบทุกอย่าง ซึ่งเสียภาษีมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน แต่ทว่าเมื่อปี 2565 กลับมีคนมาบุกรุกเอาขยะมาทิ้ง พอตนเข้าไปแสดงตัวเป็นเจ้าของ ไล่เขาก็ไม่ไป เอาตำรวจมาไล่ก็ไม่ไป โดยเขาอ้างว่าอยู่ที่นี่มานานตั้งแต่ปี 2527 ยืนยันว่าเป็นที่ดินของเขา จึงได้ปรึกษากับทีมทนายคลายทุกข์ อย่างไรก็ตามตนอยากให้เขาย้ายออกไป และไม่ยินดีจะขายที่ หรือปล่อยเช่าให้เขา

ฟาก คธาชล คุ้มผิวดำ (มอส) หลานเจ้าของที่ดิน เล่าต่อว่า เมื่อปี 2565 ตนได้ให้เจ้าหน้าที่กรมที่ดินมารังวัดที่เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของแล้ว ก็ไม่ได้มีใครมาแสดงตัวคัดค้านอะไร ซึ่งคู่กรณีเขาก็เห็นว่าตนมารังวัด หลังจากนั้นตนได้เอากล้องวงจรปิดมาติดไว้ในที่ดินดังกล่าว จึงมาทราบว่าเขาเอาขยะมาทิ้งในที่ของตน จึงไปแจ้งความ แต่ตำรวจทำอะไรไม่ได้ อ้างว่าไม่สามารถตัดสินได้ จึงได้ทำการฟ้องขับไล่พวกเขา

หลังจากที่ตนฟ้องขับไล่ เขาก็มีการเอาต้นกล้วยมาปลูกแสดงความเป็นเจ้าของที่ดิน ทว่าต้นกล้วยดังกล่าวตนไปดึงออกมายังไม่มีรากเลย เหมือนว่าพึ่งซื้อมาปัก และยังมีการต่อเติมบ้านล้ำเข้ามาในที่ดิน ไม่ได้เกรงกลัวศาลเลย ขณะเดียวกันก็มีการมาฟ้องค้าน อ้างว่าอยู่มาตั้งแต่ปี 2547 และจะครอบครองปรปักษ์ นอกจากนี้วันที่ตนจะเข้าไปกั้นรั้ว เขาก็มาขู่ไม่ให้ตนทำ พร้อมบอกว่าจะเอาคนมาปิดพื้นที่

ด้าน อำนวยพร มณีวรรณ์ (ทนายกุ้ง) ทีมทนายคลายทุกข์ ให้ความเห็นว่า เคสนี้มีการฟ้อง 2 คดี ทั้งฟ้องบุกรุก และฟ้องขับไล่ ซึ่งในคดีที่ฟ้องขับไล่คู่กรณีเขาฟ้องแย้งเข้ามา อ้างว่าเขาครอบครองมาตั้งแต่ปี 2547 อ้างว่าเข้ามาปลูกบ้าน ปลูกต้นไม้ มีน้ำมีไฟ แต่ที่ดินของคุณย่าแว้ด มันไม่มีอะไรเลยมีแต่ขยะ

อย่างไรก็ตาม ตามหลักกฎหมาย การครอบครองปรปักษ์ได้นั้น จะต้องอยู่ในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ของคนอื่นต่อเนื่อง 10 ปี และต้องเข้ามาพัฒนาที่ดิน เข้ามาปลูกบ้านอย่างถาวร และต้องขอน้ำ ขอไฟจากหน่วยงานรัฐให้ถูกต้อง ส่วนการปลูกต้นไม้ ต้องเป็นต้นไม้ยืนต้นที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าปลูกมาแล้ว 10 ปี ขณะเดียวกันเมื่ออยู่ครบ 10 ปี แล้วต้องยื่นครอบครองปรปักษ์เลย แต่ฝั่งคู่กรณีกลับเพิ่งมายื่นฟ้องแย้งหลังจากที่เราฟ้องขับไล่ไปแล้ว

ขณะเดียวกัน ฝั่งคู่กรณีได้ออกมาชี้แจงว่า "จริง ๆ แล้วเขาครอบครองที่ดินแปลงพิพาทโดยสงบ และได้เข้ามาทำประโยชน์ และเปิดเผย แสดงความเป็นเจ้าของต่อคนอื่น ตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบันก็ล่วงเลยมากว่า 10 ปีแล้ว และได้กรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมาย แถมยังมีการปลูกบ้าน ปลูกต้นไม้ ต่อน้ำประปา ไฟฟ้าใช้ในพื้นที่พิพาทตั้งแคต่ปี 2547 และโจทก์เองก็ไม่เคยดำเนินการใด ๆ เพื่อโต้แย้งหรือใช้สิทธิศาลเพื่อขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากที่พิพาทเลย"

ทั้งนี้ เมื่อลองทำการค้นหาภาพที่ดินดังกล่าวจาก Google Street View แบ่งเป็น 4 ช่วงเวลา พบว่า ในปี 2567 ปีปัจจุบัน ที่ดินนี้มีการล้อมสังกะสีไว้ในที่ดินข้างเคียง ส่วนหลังรั้วสังกะสีเป็นที่ดินของผู้เสียหาย ต่อมาปี 2565 ยังไม่มีการล้อมรั้วสังกะสี มีเพียงเสาที่ปักไว้เท่านั้น ส่วนฝั่งตรงข้ามก็เป็นบ้าน จากนั้นภาพปี 2562 กลับพบว่าเป็นที่ดินว่างเปล่าไม่มีทั้งรั้ว และบ้านใด ๆ และถ้าย้อนไปอีก ปี 2555 ก็พบว่า พื้นที่ดังกล่าว เป็นแค่ป่า ไม่มีอะไรเลย แต่ฝั่งคู่กรณีกลับอ้างว่าเข้ามาทำประโยชน์ที่พื้นที่นี้ตั้งแต่ปี 2547

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ