เดือดหนัก ชูวิทย์ โต้กลับ เพื่อไทย ยัน เศรษฐา ยังไงก็เลี่ยงภาษี
เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง นำเอกสารหลักฐานมายื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่พนักงานที่ดินเขตพระนคร กรณีการปล่อยปละละเลยให้มีการหลีกเลี่ยงภาษีโอนซื้อขายที่ดิน โดยระหว่างยื่นหนังสือ นายชูวิทย์ ได้กล่าวกับเจ้าหน้าที่ว่า ผมขอฝากบ้านเมืองไว้กับท่าน ผมคงไม่มีโอกาสได้อยู่ดู แต่ก็ขอฝากบ้านเมืองไว้กับท่านด้วย
จากนั้น นายชูวิทย์ ได้เเถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยอธิบายความเป็นมาของที่ดินเเปลงนี้ว่า จากเดิมผู้ถือครองคือ บริษัทประไพทรัพย์ ต่อมาปี 61 มีการเลิกบริษัท ดังนั้นทรัพย์สินคือที่ดินก็ปันคืนให้กับผู้ถือหุ้นจำนวน 12 คน ซึ่งจะต้องได้พร้อมกัน แต่จากการตรวจสอบก็พบพิรุธ เนื่องจากทั้ง 12 คนนั้น ได้รับที่ดินไม่พร้อมกัน เป็นการวางแผนการหนีภาษี
จากนั้นทั้ง 12 คน ได้มีการขายที่ดินต่อให้กับผู้ซื้อเพียงรายเดียว นั่นคือบริษัทแสนสิริ ซึ่งถ้าหากขายพร้อมกัน จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคล 35% ดังนั้นจึงมีเทคนิคการหลีกเลี่ยงภาษี โดยการทยอยขายที่ดินคนละวัน จันทร์-ศุกร์ ยกเว้นวันเสาร์-อาทิตย์ ใช้เวลารวม 12 วัน เเละราคาการซื้อขายก็แตกต่างกัน
ซึ่งกระบวนการนี้ จะเป็นการร่วมมือกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ดังนั้นผู้ซื้อคือบริษัทแสนสิริจะต้องรับรู้ด้วย เพราะมีการทำรายงานการประชุม แบ่งแยกออกมาเป็น 12 คน โดยมี นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นผู้เซ็น มูลค่า 1,570 ล้านบาท การกระทำดังกล่าวจึงเป็นอุบายการฉ้อโกง ร่วมมือกันทั้งขาเข้าเเละขาออก ผิดประมวลกฎหมายรัษฎากร มาตรา 37
ดังนั้นวันนี้ตนเองเดินทางมาที่ ป.ป.ช. เพื่อมากล่าวโทษเจ้าพนักงานที่ดินเขตพระนคร ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ กล่าวโทษเป็นผู้ประพฤติผิดในมาตรา 157 เพราะเป็นตัวการ โดยมีผู้ซื้อและผู้ขายเป็นตัวการร่วม สนับสนุนการฉ้อฉล มีการแบ่งหน้าที่กันทำ
ส่วนกรณีที่ นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายของนายเศรษฐา ได้ไปยื่นฟ้อง นายชูวิทย์ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จากการที่ตนแฉว่า นายเศรษฐา เลี่ยงภาษีซื้อขายที่ดินผืนดังกล่าวนั้น มองว่าเป็นการจงใจขุดหลุมพรางของตนเอง ตั้งแต่การแถลงข่าวแฉครั้งที่แล้ว เนื่องจากตนยังมีหลักฐานเด็ด ที่ระบุว่าการซื้อขายที่ดินดังกล่าว ไม่ได้เป็นการวางแผนภาษี แต่เป็นการจงใจหลีกเลี่ยงการเสียภาษี ทำให้รัฐต้องเสียประโยชน์กว่า 521 ล้านบาท ซึ่งตนมีหลักฐานเป็นหนังสือที่ลงนามโดยอดีตอธิบดีกรมที่ดิน 2 คน ในปี 2552 และ 2556 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ที่ระบุว่าการซื้อขายที่ดินในลักษณะโฉนดแปลงเดียว ไม่สามารถทำสัญญาซื้อขายกันคนละฉบับ หรือเป็นการกระทำที่กระจายภาษี ซึ่งไม่สามารถทำได้ ซึ่งการซื้อขายที่ดินครั้งนี้ ผู้ซื้อคือ บมจ.แสนสิริ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการเสียภาษีโอนที่ดิน จึงตกลงกับผู้ขายในการแบ่งโอนเป็นรายย่อย 12 ราย เพื่อเลี่ยงการโอนในรูปแบบของคณะบุคคล ซึ่งจะมีการเสียภาษีที่สูงกว่า ดังนั้นจึงเห็นว่า นายเศรษฐา ไม่มีคุณสมบัติเหมาะที่จะเป็นนายกฯ
พร้อมยกตัวอย่างคดีที่มีคำพิพากษาลงโทษ ผู้ที่มีการซื้อขายที่ดินในลักษณะนี้มาเเล้ว โดยยกตัวอย่างคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ 153/2563 “ที่นาย ก โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 8 แปลง ในวันทำการของราชการ 4 วันติดต่อกัน โดยไม่ปรากฏข้อห้ามข้อจำกัดหรือพฤติกรรมพิเศษที่จะทำให้ไม่สามารถทำการโอนดังกล่าวในคราวเดียวกันได้ ย่อมเป็นการขาดเหตุผลตามปกติทางการค้า ทั้งเป็นการแจ้งชัด ว่าโจทย์ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินและมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (5) (ข) จากฐานภาษี ในการโอนที่ดินทั้ง 8 แปลง แต่กับสมรู้กับนาย ก เพื่อทำให้การหักภาษีนำส่งไม่ครบถ้วนถูกต้อง ทำให้นาย ก ได้รับประโยชน์ทางภาษีอากร โดยเป็นการคำนวณภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ต่ำกว่าฐานภาษีที่เเท้จริง ถึงจำนวน 12,716,161 บาท ทำให้รัฐเสียหาย บริษัท ข จึงต้องรับผิดชอบร่วมกับนาย ก ในการเสียภาษีที่ต้องชำระตามจำนวนเงินภาษีที่ขาดไป ตามมาตรา 54 วรรคหนึ่ง การประเมินของเจ้าพนักงาน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ขอคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จึงถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนเรื่องที่ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย ออกมาแถลงข่าวว่า ปมเหตุของการที่ตนออกมาแฉ มาจากตกลงซื้อขายที่ดินที่ไม่ลงตัวนั้น นายชูวิทย์ ก็ยังยืนยันว่า ที่ดินของตนเองไม่สามารถซื้อขายกับใครได้ เนื่องจากติดสัญญากับบริษัท ไร มอน แลนด์
ส่วนกรณี นายพร้อมพงษ์ ที่ออกมาถามว่า สิ่งที่ตนออกมาเเฉ ต้องการตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ นายชูวิทย์ กล่าวว่า ในสมัยที่ตนเองติดคุก นายพร้อมพงษ์ อยู่ในห้องที่ 11 ซึ่งเวลา นายพร้อมพงษ์ เดินในคุก ก็จะมีคนเดินตาม คอยนวดให้ซ้ายขวาตลอดเวลา แต่สิ่งที่ตนอยากบอกว่า นายพร้อมพงษ์ ยังไม่เข็ดเหรอ ที่เคยไปติดคุก
นายชูวิทย์ ได้อธิบายถึงกรณีที่มีการพาดพิงถึงตนเอง ว่ามีข้อขัดแย้งกับ นายเศรษฐา ว่า การที่ตนออกมาแฉ มาจากการที่ซื้อขายที่ดินที่ไม่ลงตัว ซึ่ง นายชูวิทย์ ก็ยืนยันว่า ยังไม่มีการทำสัญญาตกลงซื้อขายที่ดินแต่อย่างใด เนื่องจากยังติดสัญญาการซื้อขายกับบริษัท ไร มอน แลนด์ ซึ่งตกลงซื้อขายกันในราคา 1,600 ล้านบาท โดย ไร มอน แลนด์ ได้มีการจ่ายมัดจำมาแล้ว 400 ล้านบาท ยังคงเหลือค้างชำระอีก 1,200 ล้านบาท ซึ่งต้องชำระภายในเดือนธันวาคมนี้ ทำให้ตนเองทำธุรกรรมหรือซื้อขายที่ดินดังกล่าวไม่ได้โดยเด็ดขาด เนื่องจากติดสัญญาดังกล่าว
ส่วนกรณีที่ตอนนี้มีคนกำลังพยายามโจมตีตนเรื่องที่ดิน ที่มีภาพปรากฏว่าตนมีการพูดคุยกับ นายเศรษฐา นั้น นายชูวิทย์ กล่าวว่า คุณโจมตีผมไปเถอะ ผมของแข็ง พร้อมชี้เเจงว่า ภาพดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 กันยายน ปี 2565 ได้มีการพูดคุยกันจริง แต่การพูดคุยในครั้งนั้น นายเศรษฐา ส่งคนมาเชิญตนไปพูดคุยด้วย เพื่อจะขอซื้อที่ดินของตน แต่ที่ดินผืนดังกล่าวยังติดสัญญาอยู่กับบริษัท ไร มอน แลนด์ จึงไม่สามารถขายให้ นายเศรษฐา ได้ ซึ่งรายละเอียดเนื้อหาการพูดคุยมีเพียงเท่านี้ และในการพูดคุยกันในวันนั้น นายเศรษฐา ยังบอกกับตนว่า ในชีวิตนี้ไม่เคยคิดที่จะเป็นนักการเมือง แต่สุดท้ายกลับยกตัวเองขึ้นมาเป็นเเคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย อาศัยการขึ้นรถไฟความเร็วสูงสายยิ่งลักษณ์
โดย นายชูวิทย์ ได้โชว์หลักฐาน เป็นเเชตการสนทนากับ นายเศรษฐา ในวันที่ 16 กันยายน ปี 2565 ซึ่ง นายชูวิทย์ ได้ส่งข้อความไปว่า “ผมเห็นว่าวันก่อน คุณค่อนข้างหงุดหงิด รักษาสุขภาพดีกว่าครับ อายุก็ห่างกับผมไม่มาก มีความสุขใจดีกว่า เงินก็มีเยอะอยู่แล้ว จากนั้นก็ส่งข้อความไปอีกประโยค ว่า รู้จักกันนานๆ มากๆ ดีกว่าครับ อนาคตคุณยังอีกไกล
ทางด้าน นายเศรษฐา ก็ส่งข้อความกลับมาว่า ขอโทษที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้นครับ ไม่ได้หงุดหงิดเลยครับ เป็นคนใจร้อน อยากให้ถึงเป้าหมาย มีเงินน้อยกว่าคุณชูวิทย์ มีรายจ่ายเยอะกว่าครับ
นายชูวิทย์ กล่าวว่า หลังจากนั้นในเดือนธันวาคมปี 65 นายเศรษฐา ได้ส่งกระเช้ามาให้ตน ตนจึงส่งข้อความอวยพรกลับไปให้ ซึ่งจะเห็นว่าการพูดคุยและการพบเจอกันนั้นเป็นความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ได้มีปัญหาหรือเรื่องขุนข้องหมองใจใดๆ กัน ซึ่งตนวิพากษ์วิจารณ์ นายเศรษฐา ด้วยใจเป็นธรรม ในกรณีที่ นายเศรษฐา จะเป็นนายกรัฐมนตรี ถึงแม้ นายเศรษฐา จะฟ้องร้องตนก็ฟ้องไป
ส่วนกรณีที่มีคนกล่าวหาว่า สิ่งที่ตนออกมาแฉนั้นเพื่อจะยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือไม่ ตนเองไม่ได้มีปัญหากับพรรคเพื่อไทย เพราะแคนดิเดตนายกฯ ยังมีอีก 2 คน นั่นคือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร และ นายชัยเกษม นิติสิริ ดังนั้นสิ่งที่ถูกกล่าวหาจึงไม่เป็นความจริง อีกทั้งสิ่งที่ตนออกมาแฉทั้งหมดก็มีพยานหลักฐาน มีลายลักษณ์อักษร หากคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี มีเล่ห์เหลี่ยมทางการค้า ออกอุบายหลีกเลี่ยงภาษี ตนเองรับไม่ได้ได้ เพราะสิ่งที่กระทำนั้นไม่ใช่เป็นการวางแผนภาษี แต่เป็นการวางแผนโกงภาษี ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย 521 บาท ดังนั้นจึงมองว่า นายเศรษฐา ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอในการเป็นนายกรัฐมนตรี
เมื่อถามว่า ในเมื่อมีหลักฐานปรากฏเช่นนี้เเล้ว เเต่เหตุใดทีมกฎหมายของพรรคเพื่อไทย จึงยืนยันว่าการกระทำนิติกรรมดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง นายชูวิทย์ ตอบว่า กฎหมายอยู่ที่ผู้ใช้ ทนายความก็มีสิทธิ์เข้าข้างลูกความของตัวเอง เเต่สิ่งที่หนีไม่พ้นมีอยู่ 2 สิ่ง คือ ความตายและภาษี
โดยช่วงท้าย นายชูวิทย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยแจ้งสื่อมวลชน แถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาล 2 พรรค คือพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย ว่า 2 พรรคนี้เขาเป็นข้าวต้มมัดคู่ใหม่ ตนมองว่าที่แถลงจัดตั้งรัฐบาลวันนี้ เพราะวันก่อน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีต รมต.คมนาคม โดนคดี
นายชูวิทย์ ยังกล่าวว่า เพื่อไทยกับภูมิใจไทยต้องเป็นข้าวต้มคู่ใหม่ แต่คุณพอที่ไหนล่ะ เสียงมีแค่ 210 ต้นๆ และหากเอาพรรคประชาธิปัตย์แตกพรรคมา ก็จะได้เสียงประมาณ 260 เสียง แล้วจะผ่านด่าน สว.ได้อย่างไร
นายชูวิทย์ ย้ำว่า พรรคเพื่อไทยจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลที่แข็งแกร่งได้ และผ่านด่าน สว.ได้ ต้องมีพรรค 2 ลุงเท่านั้น และถ้าไม่มี 2 ลุง คุณจะผ่าน สว.ได้อย่างไร และ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะกลับบ้านได้อย่างไร
โดยช่วงท้ายสัมภาษณ์ นายชูวิทย์ บอกว่า “เดือนตุลาคม ตัวเองจะเดินทางไปอังกฤษเพื่อรักษาตัว เรื่องจากมะเร็งตับลุกลามเกิน 5 เซนติเมตร ทำให้เกินกว่าที่จะเปลี่ยนถ่ายจับได้ และยังไม่ทราบระยะเวลาที่ต้องพักที่สถานพักฟื้นหลังการคีโมและให้ยา จึงขอลาไว้ล่วงหน้า
อย่างไรก็ตาม ภารกิจแฉเพื่อชาติครั้งนี้ เป็นการแฉครั้งที่สูงสุดในชีวิตของนักแฉ เพราะผู้ที่ถูกแฉเป็นถึงว่าที่นายกรัฐมนตรี ถูกแฉจนตกเก้าอี้ ซึ่งตัวเองภาคภูมิใจในตำแหน่งนี้ และภูมิใจในข้อมูลของตัวเอง เพราะเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมด ขณะที่คุณกำลังพยายามทำลายผม ด้วยเรื่องส่วนตัวผม แต่กลับไม่ชี้แจงในเรื่องที่เป็นประโยชน์สาธารณะ