อลิสา จณิน โชคดี ออกจากกรุงปารีสก่อนเหตุจลาจลในฝรั่งเศสเพียงหนึ่งวัน
หลายคนคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว สำหรับ อลิสา จณิน นักร้องแร็ปเปอร์ นักแสดง ลูกครึ่งไทย-เยอรมัน ก่อนหน้านี้เพิ่งได้แสดงคอนเสิร์ตระดับโลกที่เทศกาลดนตรีเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส ไปเมื่อต้นเดือนมิถุนายน จากนั้นก็ไปเที่ยวกรุงปารีสกับเพื่อนๆ โดยเจ้าตัวได้เดินทางออกจากกรุงปารีสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้าเหตุจลาจลในกรุงปารีสและในเมืองอื่นๆในฝรั่งเศสเพียงหนึ่งวัน โดยเจ้าตัวเปิดเผยว่า เป็นโชคดีมากๆที่ได้บินจากสนามบินชาร์ลส์ เดอโกล ปารีส ไปยังกรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของเยอรมนีก่อนเหตุจลาจลหนึ่งวันพอดี เป็นเรื่องบังเอิญที่กำหนดวันเดินทางกลับแบบนั้น
จณิน กล่าวว่า ตนเองไปฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงปารีสมาหลายครั้งแล้วกับครอบครัวตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กประถม มัธยม และเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ไปปารีสกับเพื่อนๆ ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ โดยส่วนตัวที่ได้สัมผัสจากการไปเที่ยวปารีสครั้งนี้ รู้สึกว่า ผู้คนที่ได้พบในแต่ละวันตามท้องถนนมีอัธยาศัยดี แต่รถเมล์ในกรุงปารีสไม่ตรงเวลา บางคันมาช้าเป็นชั่วโมง ซึ่งที่เยอรมนีหรืออังกฤษไม่เป็นแบบนี้
สถานที่ท่องเที่ยวในปารีสสวยมาก แต่ก็มีหลายเขตในปารีสที่นักท่องเที่ยวไม่ควรไปถ้าไม่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งชานเมือง เพราะเสี่ยงต่ออันตรายจากอาชญากรรม หน้าร้อนใจกลางกรุงปารีสนักท่องเที่ยวเยอะ ที่พักแพง อากาศก็ร้อนมาก ที่พักไม่ค่อยมีแอร์ ถ้าไม่ใช่โรงแรมห้าดาว ก็จะอึดอัดหน่อย จะเปิดหน้าต่างนอนก็เสียงด้งจากข้างนอก สหภาพแรงงานฝรั่งเศสชอบนัดหยุดงานประท้วงหน้าร้อน ทำให้รถไฟรถเมล์เครื่องบินอาจเอาแน่ไม่ได้
ใครอยากไปปารีส แนะนำให้ไปช่วงฤดูใบไม้ร่วง จะถูกกว่าและสะดวกสบายมากกว่าค่ะ ส่วนเรื่องความรุนแรงในฝรั่งเศสในตอนนี้ จณินเห็นว่า สาเหตุที่มาที่ไปเป็นเรื่องละเอียดอ่อน สังคมฝรั่งเศสไม่เหมือนเมืองไทยบ้านเรา เขามีปัญหาสะสมมานานเรื่องช่องว่างระหว่างคนขาวเจ้าของประเทศกับผู้อพยพที่มาได้สัญชาติฝรั่งเศสทีหลัง ทั้งช่องว่างด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจและสังคม เหมือนมีโลกสองใบซ้อนกัน
สมัยจณินไปฝรั่งเศสครั้งแรกกับครอบครัวที่ตอนยังเป็นเด็กประถมเมื่อสิบกว่าปีก่อน ที่เมืองมาเซย์ในใจกลางเมืองที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจมีห้างสรรพสินค้าร้านค้าเยอะแยะ ก็ได้เห็นตำรวจสายตรวจสะพายปืนกลเดินเท้าลาดตระเวนตามถนน เป็นเรื่องปกติในสังคมของเขา แสดงว่ามีปัญหาด้านความรุนแรงและปัญหาอาชญากรรมมานานแล้วตามเมืองใหญ่ ไม่ใช่เพิ่งมามีทในฝรั่งเศสไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็จะเห็นผู้คนผิวสีมาจากประเทศในอาฟริกาและกลุ่มประเทศโมร็อกโก อัลจีเรีย และประเทศมุสลิมที่เคยเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศสมาก่อน พวกเขาอพยพมาฝรั่งเศสกันตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นทวด ทุกคนได้สัญชาติฝรั่งเศสกันหมด แต่ไม่ได้โอกาสทางสังคมที่เท่าเทียมคนฝรั่งเศสผิวขาว
ส่วนใหญ่ก็ทำงานเป็นแรงงานในโรงงาน ทำความสะอาด ขับแท็กซี่ หรือว่างงาน แต่รับเงินสวัสดิการสังคมเป็นเดือน ซึ่งก็ไม่มากนัก การศึกษาก็ไปไม่ค่อยถึงระดับมหาวิทยาลัยกัน พอไม่ได้เรียนเยอะ ก็ไม่มีงานดีๆทำ ยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจตกต่ำ เงินเฟ้อ ความยากจนก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เด็กวัยรุ่นเหล่านี้ก็มีความเครียดสะสมสูง ไม่มีทางออกในชีวิต ไม่เห็นอนาคต พอเกิดเหตุการณ์ตำรวจยิงน้องนาเอลจนเสียชีวิต
ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสเชื้อสายอัลจีเรีย มันก็จุดชนวนความรุนแรงขึ้น ส่วนหนี่งก็เป็นเรื่องในอดีต ที่ฝรั่งเศสมีอาณานิคมในอาฟริกาและอีกหลายประเทศ ที่เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ส่งผลมาถึงปัจจุบัน เพราะผู้อพยพมากมายมาจากประเทศเหล่านั้นในสังคมที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำระหว่างเจ้าของประเทศดั้งเดิมชาวยุโรปกับระดับผู้อพยพที่ถึงจะได้สัญชาติ แต่ก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ดีกว่าของฝรั่งเศส ปัญหามันก็เลยย้อนกลับมาเป็นบูเมอแรงต่อสังคมฝรั่งเศสโดยรวม กว่าจะแก้ปัญหาพื้นฐานนี้ได้ คงต้องใช้เวลานานหลายชั่วอายุคนเลย
แล้วก็ต้องแก้เรื่องการให้โอกาสทางการศึกษากับกลุ่มประชากรกลุ่มนี้ก่อนเลย มันก็คงไม่ง่ายที่จะทำได้ ส่วนตัวจณินคิดว่า ความรุนแรงไม่ว่าจะมาจากฝ่ายใด ไม่ใช่คำตอบสำหรับการเปลี่ยนแปลงสังคม เพราะมันทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปด้วยส่งผลกระทบไปหมดทั้งระบบ ก็หวังว่า ฝรั่งเศสจะคืนสู่ความสงบลงในเร็ววันและขอแสดงความเสียใจต่อน้องนาเอล วัยรุ่นที่เสียชีวิตและสมาชิกในครอบครัวของน้อง ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ข่าวโดย อัมรินทร์ วะนะวิเชียร ผู้สื่อข่าวจังหวัดลำปาง
เรียบเรียง มุมข่าว by siamnews