พระมหาไพรวัลย์

พระมหาไพรวัลย์

วันที่ 4 ก.ย.64 พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ แห่งวัดสร้อยทอง โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ระบุว่า ไม่สำรวมแบบนี้ใครจะศรัทธา หัวเราะ = ศาสนาเสื่อม อาตมาคิดว่า แน่นอนทีเดียวในการที่อาตมาเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการในการเผยแผ่ศาสนาแล้ว จะต้องมีชาวพุทธบางกลุ่มมองว่า ไม่เหมาะ ไม่ควร ทำให้ศาสนาเสื่อม หรือทำให้คนหมดศรัทธา ไม่ว่าชาวพุทธกลุ่มนั้น จะมองแบบไหน อาตมาขอยอมรับและไม่ขอปฎิเสธเลย

อาตมาจะเขียนให้ชัดอีกครั้งว่า เหมาะสมทั้งหมด ไม่มีทางเป็นไปได้ และไม่เหมาะสมทั้งหมด ก็อาจไม่มีอยู่จริง ธรรมะมันเหมือนกับอะไรบางอย่าง ซึ่งมีหลายระดับและเหมาะกับคนแต่ละช่วงวัยแตกต่างกันไป บางคนอาจจะชอบกับรสขมของอเมริกาโน่ ในขณะที่บางคนอาจกินได้แค่ลาเต้อย่างเดียว อาตมาปลื้มใจมากนะ วันนี้มีโยมคณะหนึ่งมาขอพบอาตมา อาตมาถามเขาว่า พวกโยมมาจากไหน พวกเขาตอบว่า มาจากบ้านค่ะ ฟังแบบนี้ก็โล่งใจ อาตมาจึงเข้าไปสนทนาด้วยคุยด้วย ในคณะที่ว่านี้ มีโยมผู้หญิง 2 คน เป็น 2 แม่ลูก คนแม่ชื่อว่าโยมผึ้ง ส่วนคนลูกอาตมาจำชื่อไม่ได้ (ถ้าจำได้เดี๋ยวค่อยมาเขียนใส่ทีหลัง) (จำได้แล้วชื่อพิ้งกี้)

ความพิเศษของสองแม่ลูกนี้ ก็คือว่า โยมผู้หญิงที่เป็นลูกอายุ 22 และเมื่อตอนที่เธออายุ 18 คือเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เธอขออนุญาตแม่ของเธอเพื่อที่จะเลิกนับถือศาสนา และกลายเป็นคนไม่มีศาสนา ทั้งโดยพฤตินัยและนิตินัย อาตมาคุยกับโยมผึ้งผู้เป็นแม่ โยมผึ้งบอกว่า ด้วยการที่ตัวเองเป็นครูด้วย ตอนนั้น ก็เผื่อใจ คือไม่ขัดขวางลูก และพร้อมรับฟังเหตุของลูกในการอยากเลิกนับถือศาสนา เธอแนะนำให้ลูกของเธอไปจัดการเรื่องบัตรประชาชน ตามความประสงค์อย่างที่ลูกอยากจะเป็น

ภาพจาก คมชัดลึก

เธอบอกว่า เธอถามลูกว่า แล้วหนูจะนับถืออะไร ยึดเหนี่ยวอะไร ลูกของเธอก็ตอบว่า หนูขอนับถือตัวเองและมีแม่เป็นที่ยึดเหนี่ยวก็พอ ลูกของเธอสั กคำว่าแม่ ไว้ที่หน้า อกด้วย โยมผึ้งกล่าว โยมผึ้งเล่าต่อไปว่า ที่เป็นเรื่องที่เธอรู้สึกตกใจและเซอร์ไพรส์เป็นอย่างมาก คือตลอดระยะเวลา 4 ปี นับตั้งแต่ที่ลูกของเธอเลิกนับถือศาสนา ลูกของเธอแทบจะไม่เข้าวัดเลย ไม่เข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาใดๆ เลย ถ้าไปวัดด้วยกัน ลูกเธอมักจะขอรออยู่ด้านนอกตลอด

โยมผึ้งกล่าวว่า การที่ลูกของเธอเลิกนับถือศาสนา อาจนำความลำบากใจมาให้กับเธอบ้าง บางครั้งเธออยากไปปฎิบัติธรรมที่วัดต่างจังหวัดตามคำแนะนำของเพื่อน แต่เมื่อลูกไม่ไปด้วย ก็ทำให้เธอเดินทางไปไม่ได้ ในความไม่เห็นตรงกันเรื่องศาสนานี้ ทำให้โยมผึ้งกับลูกสาวของเธอคุยกันน้อยมาก อาตมาสนทนากับโยมผึ้ง โยมผึ้งบอกว่า ที่ทั้งรู้สึกดีใจและตกใจ เพราะ 2-3 วันที่ผ่านมานี้ ในทุกๆ คืน เธอจะเห็นลูกของเธอฟังธรรมะตลอด (ธรรมะอะไรก่อน สภาพ) และเมื่อวันนี้ที่เป็นวันเกิดเพื่อน เธอได้ลองชวนลูกของเธอมาทำบุญที่วัดด้วย ลูกเธอ ตอบตกลง

โยมผึ้งบอกว่า แปลกใจมาก เพราะมาทำบุญวันนี้ ลูกเธอไม่ปฎิเสธในการเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาเมื่อครั้งก่อนๆ ลูกช่วยยกสังฆทาน ผ้าไตร และเป็นคนนำเธอเข้าไปหาพระด้วยซ้ำ เขากรวดน้ำด้วยนะ โยมผึ้งพูดแบบคนที่ทั้งรู้สึกดีใจและแปลกใจ เรื่องของโยมผึ้งและโยมพิงกี้ สร้างความประทับใจให้กับอาตมามากๆ แม้ในตอนนี้โยมพิ้งกี้จะยังไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ และเป็นคนที่เรียกตัวเองว่า ไม่มีศาสนา อยู่

อาตมาคงต้องพูดซ้ำๆ แหล่ะว่า รูปแบบของการสอนธรรมะ มันก็มีบริบทและกลุ่มคนที่จะรับฟัง แตกต่างกันไป การสอนในรูปแบบหนึ่ง อาจจะเหมาะกับคนกลุ่มหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกัน อาจจะไม่เหมาะกับคนอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้ อาตมาไม่สามารถทำให้ใครรู้สึกพึงพอใจในรูปแบบการสอน การเทศน์ การพูด หรือแม้แต่การประพฤติตัวของอาตมาได้นะ แต่ในขณะเดียวกัน อาตมาก็มั่นใจว่า ทุกคนสามารถเลือกเสพในสิ่งที่เหมาะหรือถูกจริตของตนเองได้ ดังนั้น เชื่ออาตมาเถอะ อย่ายอมให้อาตมากลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า ความทุกข์หรือความขัดข้องใจของใครเลย สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ควรจะท่องจำให้ได้แบบท่านนายกกันบ้าง

ขอบคุณ ข่าวสด

:: ร่วมแสดงความคิดเห็นกับสิ่งนี้

:: เนื้อหาข่าวที่น่าสนใจ