บรรยากาศหน้าบ้าน นายไชย์พล วิภา
จากกรณีการเสียชีวิตของ “น้องชมพู่” เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ที่หายตัวจากบ้านในหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เมื่อวันที่ 11 พ.ค.63 ก่อนจะพบเป็นศพอยู่ในป่าบนภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้านราว 2 กม. เมื่อวันที่ 14 พ.ค.63 ซึ่งก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่แถลงยืนยันว่า จากการพิสูจน์หลักฐานทางคดี น้องชมพู่ไม่สามารถเดินขึ้นไปบนภูเหล็กไฟ จุดที่พบศพได้ด้วยตนเองได้ ทำให้เชื่อว่า มีผู้พาขึ้นไป และทำให้ถึงแก่ความตายทั้งทางตรงหรือทางอ้อม
ความคืบหน้า ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอนุมัติออกหมายจับ นายไชย์พล วิภา หรือลุงพล อายุ 44 ปี ลุงเขยของน้องชมพู่ ฐานความผิด “พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร, ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย และกระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
ทั้งนี้ มีรายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ของสำนักงานพิสูจน์หลักฐานจังหวัดมุกดาหาร ได้เก็บวัตถุพยานหลายอย่าง สำคัญสุดคือ เส้นผมของน้องชมพู่ ที่ถูกหั่นจำนวนหลายเส้น วัตถุพยานดังกล่าวกลายเป็นหลักฐานสำคัญในทันทีที่เจออยู่ในรถของนายไชย์พล และเส้นผมของคนใกล้ชิดไปตกอยู่ในที่เกิดเหตุพบศพ ทั้งที่คนใกล้ชิดไม่ได้ขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟตรงกับรายงานการตรวจวิเคราะห์ด้วยเทคนิคการใช้รังสีเอกซเรย์จากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) สอดรับการผลการเข้าเครื่องจับเท็จ ที่สรุปว่านายไชย์พลมีพิรุธในการตอบคำถาม
พยานหลักฐานทั้งหมดของคณะทำงาน ผบ.ตร. บ่งชี้ได้ว่า นายไชย์พลเท่านั้นจะนำตัวน้องชมพู่ไป และมีการทอดทิ้งไว้ในจุดแรก เพื่อกลับมาทำธุระ หาพยานบุคคลอ้างอิง แล้วกลับเข้าไปพาตัวเด็กขึ้นบนเขาภูเหล็กไฟทิ้งไว้ในป่าลึกที่ไม่มีผู้คน เพื่อให้พ้นไปจากตัวเอง เป็นเหตุให้เด็กขาดน้ำ ขาดอาหารถึงแก่ความตาย ก่อนกลับมาจัดฉากอำพรางคดีให้หลงเป็น “เรื่องการฆาตกรรม” ตัดเส้นผมจงใจให้คล้ายเป็นเรื่องไสยศาสตร์ มนตร์ดำของเขมร อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ลุงพล พร้อมครอบครัว ได้เก็บข้าวของออกจากพื้นที่กกกอก ไปตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยอ้างว่า จะกลับไปบ้านพ่อของนายไชย์พล ที่ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร
และบรรยากาศหน้าบ้านนายไชย์พล วิภาล่าสุด
นักข่าวยังคงปักหลักอยู่หน้าบ้านนายไชย์พล และไม่มีใครออกมาจากบ้านแม้แต่คนเดียว